Dhamma Online

วาสนาสร้างเองได้

Posted in บทความธรรมะ by chefuno77 on กันยายน 24, 2009

วาสนาสร้างเองได้
โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ขออนุโมทนาโยมญาติมิตรทุกท่านที่มาทำบุญวันนี้โดยปรารภโอกาสมงคลในช่วงวันเกิดที่จริงระยะนี้มีหลายท่านที่เป็นเจ้าของวันเกิดแม้ท่านอื่นที่มิได้บอกหรือว่าตั้งใจจะมาแต่มาไม่ได้ก็ขออนุโมทนารวมไปพร้อมกัน ถือว่าได้ตั้งจิตปรารถนาดี และโดยเฉพาะก็ใกล้ปีใหม่ด้วยสำหรับปีใหม่นี้ได้หมดทุกท่าน เพราะฉะนั้นในช่วงนี้ที่ใกล้จะขึ้นปีใหม่ก็เลยขออวยชัยให้พรแก่ทุกท่านพร้อมกันไป

ส่วนท่านที่เป็นเจ้าของวันเกิดก็ได้ทั้งสองอย่างคือทั้งปีใหม่และวันเกิดด้วย วันเกิดเป็นวันดี เพราะเราทำให้ดี ทั้งวันเกิดและวันขึ้นปีใหม่ เป็นอันว่าดีทั้งนั้น ที่ว่าดีก็เพราะเราทำได้ดีนั่นเองที่ว่าทำให้ดี ทำอย่างไร ก็เริ่มตั้งแต่ทำใจให้ดี ทำใจให้ดีให้ร่าเริงเบิกบานแจ่มใส และตั้งใจดีคิดดีท่านเรียกว่าเป็นมโนกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล ตอนนี้แหละมงคลเกิดขึ้นทันทีทีนี้พอใจดี สบายใจผ่องใสเบิกบาน คิดในทางที่ดี และตั้งใจดีว่าจะทำอะไรๆที่เป็นเรื่องดีๆ แล้วต่อไป ก็พูดดี ต่อจากนั้นที่สำคัญก็ทำออกมาข้างนอกดีนี่แหละเป็นมงคลที่แท้จริง

ทำบุญวันเกิดให้เป็นการเริ่มต้นที่ดี

วันเกิดนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตทุกคนที่มีชีวิตยืนยาวมาจนบัดนี้ก็เริ่มจากการเกิดทั้งนั้นแต่สำหรับชาวพุทธเราไม่ว่าจะปรารภหรือนึกถึงอะไรก็ตาม ก็จะทำให้เป็นบุญเป็นกุศลคือทำให้เป็นเรื่องดีไปหมด ในการทำให้ดีนั้น สำหรับวันเกิดเราก็มองหาความหมายก่อนโดยทั่วไปแล้วจะมองว่าการทำบุญวันเกิดนั้น เป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะวันเกิดก็คือวันเริ่มต้นของชีวิตในแต่ละรอบปีการทำบุญวันเกิดก็คือการเริ่มต้นอายุในรอบปีต่อไปด้วยการทำความดีโดยเริ่มต้นดีด้วยการทำบุญ ทำกุศล เรียกว่าเป็นนิมิตให้เกิดความสุขความเจริญนี้ก็อย่างหนึ่ง

วันเกิดคือวันที่เตือนใจให้เกิดกันให้ดีๆ

หมายความอีกอย่างหนึ่งก็คือเราพูดว่าวันเกิด ก็เกิดกันมาตั้งนานแล้วนี่ จะเกิดอย่างไรอีกแต่ทางพระท่านบอกว่าเราเกิดอยู่เรื่อยๆ เวลานี้เราก็เกิดอยู่ตลอดเวลาถ้าเราไม่เกิดอยู่เรื่อยๆ เราก็อยู่ไม่ได้ การเกิดนี้มีทั้งรูปธรรม และนามธรรม

ในกรณีนี้ การเกิดทางนามธรรมกลับเห็นง่าย คือ การเกิดทางจิตใจซึ่งเราก็พูดกันอยู่เสมอ เช่นเกิดความสุข เกิดความสดชื่น เกิดปีติเกิดความเบิกบานใจ เกิดเมตตา เกิดศรัทธา เกิดทั้งนั้น ที่เราเป็นอยู่นี้เดี๋ยวก็เกิดอันโน้น เดี๋ยวก็เกิดอันนี้ คือเกิดกุศลหรืออกุศลในใจในทางไม่ดีก็เกิดความโกรธ เกิดความเกลียด เกิดความกลัว อย่างนี้ไม่ดี เรียกว่าเกิดอกุศล

เมื่อถึงวันเกิดก็เลยเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับชาวพุทธว่าให้เกิดดีๆ นะคือเกิดกุศลในใจ เราก็มาตั้งใจทำใจให้เกิดความสุข เกิดปีติ เกิดศรัทธา เกิดเมตตาเกิดความสดชื่น เกิดความอิ่มใจ เกิดความแจ่มใส เกิดความเบิกบานใจถ้าเกิดอย่างนี้เรื่อยๆ ต่อไปก็จะมีแต่ความสุข และความเจริญอย่างแน่นอน

ฉะนั้น วิธีดำเนินชีวิตอย่างหนึ่งก็คือ เกิดให้ดี โดยทำใจของเราให้เกิดกุศลและเกิดที่ประเสริฐสุดก็คือการเกิดของกุศลนี้แหละ เมื่อใดใจเกิดกุศลจะเป็นด้านความรู้สึกที่สบาย ผ่องใส เอิบอิ่ม เบิกบานใจก็ตาม เป็นคุณธรรม เช่นเมตตา ไมตรีก็ตาม หรือเป็นความคิดที่ดีว่าจะทำโน่นทำนี่ ที่เป็นการสร้างสรรค์ช่วยเหลือกัน ร่วมมือกัน เอื้อเฟื้อกันก็ตาม เกิดอย่างนี้แล้วมีแต่เรื่องดีทั้งนั้นนี่แหละคือวันเกิดที่ว่ามีความหมายเป็นการเริ่มต้นที่ดีเมื่อเกิดอย่างนี้แล้วต่อไปก็ออกสู่การกระทำ มีการปฏิบัติที่ดีไปหมด

เราสร้างวาสนา แล้ววาสนาก็สร้างเรา

ถ้าใจของเราเกิดอย่างนี้บ่อยๆ จิตก็จะคุ้นเป็นนิสัยคือคนเรานี้อยู่ด้วยความเคยชินเป็นส่วนใหญ่ เราไม่ค่อยรู่ตัวหรอกว่าที่เราอยู่กันนี้เราทำอะไร ๆ ไปตามความเคยชิน ไม่ว่าจะพูดกับใครจะเดินอย่างไรเวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เราจะตอบสนองอย่างไร ฯลฯเรามักจะทำตามความเคยชิน ทีนี้ก่อนจะมีความเคยชินก็ต้องมีการสั่งสมขึ้นมาคือทำบ่อยๆ บ่อยจนทำได้โดยไม่รู้ตัวแต่ทีนี้ท่านเตือนว่าถ้าเราปล่อยไปอย่างนี้มันจะเคยชินแบบไม่แน่นอนว่าจะร้ายหรือจะดีและเราก็จะไม่เป็นตัวของตัวเอง

ท่านก็เลยบอกว่าให้มีเจตนาตั้งใจสร้างความเคยชินที่ดีความเคยชินที่เกิดขึ้นนี้ท่านเรียกว่า”วาสนา”ซึ่งเป็นความหมายที่แท้และดั้งเดิม ไม่ใช่ความหมายในภาษาไทยที่เพี้ยนไป วาสนาก็คือความเคยชิน ตั้งแต่ของจิตใจ ตลอดจนการแสดงออกที่กลายเป็นลักษณะประจำตัวใครมีความเคยชินอย่างไร ก็เป็นวาสนาของคนนั้นอย่างนั้น และเขาก็จะทำอะไรๆไปตามวาสนาของเขา หรือวาสนาก็จะพาให้เขาไปทำอย่างนั้นๆ เวลาพบเห็นอะไรใครสั่งสมจิตใจชอบมาทางไหน ก็ไปทางนั้น

เช่น มีของเลือก 2-3 อย่างคนไหนชอบสิ่งไหนก็จะหันหาแต่สิ่งนั้น แม้แต่ไปตลาดไปร้านค้าไปที่นั่นมีร้านค้าหลายอย่าง อาจจะเป็นห้างสรรพสินค้า เดินไปด้วยกันคนหนึ่งชอบหนังสือก็ไปร้านหนังสือ อีกคนหนึ่งเข้าไปร้านขายของเครื่องใช้เครื่องครัว เป็นต้น แต่อีกคนหนึ่งเข้าไปร้านขายของฟุ่มเฟือยอย่างนี้แหละเรียกว่าวาสนาพาให้ไป คือใครสั่งสมมาอย่างไรก็ไปตามนั้นและวาสนานี้แหละเป็นตัวการที่ทำให้ชีวิตของเราผันแปรไปตามมันพระท่านมองวาสนาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นวาสนาจึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัว

ท่านก็เลยบอกว่าให้เรามาตั้งใจสร้างวาสนาให้ดี เพราะวาสนานั้นสร้างได้คนไทยเราชอบพูดว่าวาสนานี้แข่งกันไม่ได้ แต่พระบอกว่าให้แก้วาสนาให้เราปรับปรุงวาสนา เพราะมันอยู่ที่ตัวเรา ที่สร้างมันขึ้นมาแต่การแก้ไขอาจจะอยากสักหน่อย เพราะความเคยชินนี้แก้ยากมาก แต่แก้ได้ปรับปรุงได้ถ้าเราทำ ก็จะมีผลดีต่อชีวิตอย่างมากมาย ขอให้จำไว้เป็นคติประจำใจเลยว่า

“วาสนามีไว้แก้ไขไม่ใช่มีไว้แข่งขัน”
ถ้าเกิดเป็นก็พลิกวาสนาให้ได้

บางคนเกิดมาจน บอกว่าตนมีวาสนาไม่ดีหรือบางทีบอกว่าเราไม่มีวาสนา พูดอย่างนี้ก็ยังไม่ถูก คนจนวาสนาดีก็มีคนมีก็อับวาสนาได้ ถ้าเกิดมาจนแล้วมัวแต่หดหู่ ระย่อ ท้อแท้ใจ ได้แต่ขุ่นมัวเศร้าหมอง คิดอย่างนี้อยู่เรื่อย ก็แน่นอนละว่าวาสนาไม่ดี เพราะคิดเคยชินในทางไม่ดีจนความท้อแท้อ่อนแอ กลายเป็นลักษณะประจำตัว

แต่ถ้าเกิดมาจนแล้วคิดถูกทางว่า ก็ดีนี่เราเกิดมาจนนี้แหละเจอแบบฝึกหัดมาก พระท่านว่าคนนี้เป็นสัตว์พิเศษจะประเสริฐได้ด้วยการฝึก เพราะเราจน เราจึงมีเรื่องยากลำบากที่จะต้องทำมีปัญหาให้ต้องคิดและเพียรพยายามแก้ไขมาก นี่แหละคือได้ทำแบบฝึกหัดมาก

เมื่อเราทำแบบฝึกหัดมาก เราก็จะยิ่งพัฒนามากได้พัฒนาทักษะให้ทำอะไรได้ชำนิชำนาญ พัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งอดทนมีความเพียรพยายามใจสู้ จะฝึกสติ ฝึกสมาธิก็ได้ทั้งนั้นและที่สำคัญยอดเยี่ยมคือได้ฝึกปัญญา ในการคิดหาทางแก้ไขปัญหาคนที่เกิดมาร่ำรวยมั่งมี ถ้าไม่รู้จะคิด ไม่หาแบบฝึกหัดมาทำมัวแต่หลงเพลิดเพลินในความสุขสบาย นั่นแหละจะเป็นวาสนาไม่ดีต่อไปจะกลายเป็นคนอ่อนแอ ทำอะไรไม่เป็น ปัญญาก็ไม่พัฒนากลายเป็นคนเสียเปรียบเพราะฉะนั้น ใครจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ จะดูที่ฐานะข้างนอกว่า รวย ว่าจน เป็นต้นยังไม่แน่

คนที่รู้จักคิด คิดเป็น คิดถูกต้องสามารถพลิกความเสียเปรียบเป็นความได้เปรียบ แต่คนที่คิดผิดกลับพลิกความได้เปรียบเป็นความเสียเปรียบ และทำวาสนาให้ตกต่ำไปเลยจึงต้องจำไว้ให้แม่นว่า ไม่มีใครเสียเปรียบหรือได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ ถ้าคิดเป็นก็พลิกความเสียเปรียบให้เป็นความได้เปรียบได้ แต่อย่าเอาเปรียบกันเลยเรามาสร้างวาสนาให้ดีจะดีกว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นั้นเป็นผู้ที่พ้นจากอำนาจของวาสนาพระพุทธเจ้าทรงละกิเลสพร้อมทั้งวาสนาได้หมดหมายความว่าพระองค์ไม่อยู่ใต้อำนาจความเคยชิน แต่อยู่ด้วยสติปัญญา

มาสร้างวาสนาดีๆ ที่จะให้มีความสุข

ทีนี้เรื่องของคนสามัญก็คือ พยายามแก้ไขวาสนาที่ไม่ดีและปรับปรุงสร้างวาสนาให้เป็นไปในทางที่ดีคือการที่เราตั้งใจทำจิตใจให้เกิดเป็นกุศลอยู่เสมอ จิตใจของเราจะไปตามที่มันเคยชินอย่างคนที่เคยชินในการปรุงแต่งไม่ดี ไปนั่งไหนเดี๋ยว ก็ไปเก็บเอาอารมณ์ที่ผ่านมาที่กระทบกระทั่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น แล้วนำมาครุ่นคิด กระทบกระทั่วตัวเองทำให้ไม่สบาย ทีนี้ถ้าเรารู้ตัวมีสติก็ยั้งได้ ถ้าคิดอะไรไม่ดีขึ้นมาก็หยุดแล้วเอาสติไปจับ คือไปนึกระลึกเอาสิ่งที่ดีขึ้นมา ระลึกขึ้นมาแล้วทำจิตใจให้สบายปรุงแต่งในทางที่ดี

ต่อไปจิตก็จะเคย พอไปนั่งไหนอยู่เงียบๆจิตก็สบายนึกถึงเรื่องที่ดีๆ แล้วก็มีความสุข คนเรานี้สร้างสุขได้สร้างวาสนาให้แก่ตนเองได้สร้างวิถีชีวิตได้ ด้วยการกระทำอย่างที่ว่ามานี้คือให้มีการเกิดบ่อยๆ ของสิ่งที่ดีงาม เพราะฉะนั้นการเกิดจึงเป็นนิมิตหมายความว่าให้ชาวพุทธได้คติหรือได้ประโยชน์จากวันเกิดถ้าญาติโยมนำวิธีปฏิบัติทางพระไปใช้จริงๆ วันเกิดจะมีประโยชน์อย่างแน่นอนจะเป็นบุญกุศล ทำให้เกิดความเจริญงอกงามอย่างน้อยก็เตือนตนเองว่าเราจะให้เกิดแต่กุศลนะ เราจะไม่ยอมให้เกิดอกุศล เช่นใจที่ขุ่นมัวเศร้าหมองเราไม่เอาทั้งนั้น

จิตใจที่ดีต้องเกิด ห้าอย่างนี้เป็นประจำ

เพราะฉะนั้น จึงมีหลักที่แสดงพัฒนาการของจิตใจว่าจิตใจของชาวพุทธ หรือจิตใจที่ดี ต้องมีคุณสมบัติ 5 อย่าง คือ

1. มีปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกบานใจ

2. มีปีติ ความอิ่มใจ

3. มีปัสสัทธิ ความสงบเย็นผ่อนคลาย สบายใจ

4. มีสุข ความคล่องใจ โปร่งใจไม่มีอะไรมาบีบคั้นหรือระคายเคือง

5. มีสมาธิ ความมีใจแน่วแน่ สงบ มั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่ถูกอารมณ์ต่างๆ มารบกวน

ถ้าทำใจให้มีคุณสมบัติ 5 อย่างนี้ได้ ก็จะเป็นจิตใจที่เจริญงอกงามในธรรม สภาวะจิต 5 ประการนี้โปรดจำไว้เลยว่าให้มีเป็นประจำ พระพุทธเจ้าตรัสบ่อยๆ ว่าเมื่อปฏิบัติธรรมถูกต้องแล้ว พิสูจน์ได้อย่างหนึ่งคือเกิดสภาวะจิต 5 ประการนี้ถ้าใครไม่เกิดแสดงว่าการปฏิบัติยังไม่ก้าวหน้า คือ ต้องมี 1. ปราโมทย์ 2. ปีติ 3. ปัสสัทธิ 4. สุข 5. สมาธิ พอห้าตัวนี้มาแล้ว ปัญญาก็จะผ่องใสแล้วคิดจะทำอะไรก็จะเดินหน้าไป ตลอดจนการปฏิบัติธรรมก็ก้าวไปสู่โพธิญาณได้ด้วยดีเพราะฉะนั้นในวันเกิดก็ขอให้ได้อย่างน้อย 2 ประการนี้ คือ เริ่มต้นดีและให้เกิดสิ่งที่ดี ก็คุ้มเลย ชีวิตจะเจริญงอกงามมีความสุขแน่นอน


เกิดคือเชื่อมต่อที่กำเนิดกับความงอกงามต่อไป

เรื่องวันเกิดนี้พูดได้หลายอย่างหลายแง่ เพราะมีความหมายมากมาย ความหมายอีกอย่างหนึ่งของการเกิดก็คือเป็นจุดเชื่อมต่อไม่ใช่ว่าเกิดมานี้คือการเริ่มต้นใหม่โดยไม่มีอะไรมาก่อนแต่การเกิดนี่เป็นจุดเชื่อมต่อ และถ้าใช้เป็นจุดเชื่อมก็ทำให้เราได้ประโยชน์มากมายเชื่อมต่ออะไร

เชื่อมเรา กับคุณพ่อ-คุณแม่

(1.) การเกิดเป็นตัวเชื่อมต่อตัวเราผู้เกิดกับท่านผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ทันทีที่ใครคนใดคนหนึ่งนั้น อีกคนหนึ่งก็เกิดด้วยคือพอลูกเกิดก็เกิดพ่อแม่ด้วย คนที่ยังไม่ได้เป็นพ่อแม่พอมีลูกเกิดขึ้น ตนเองก็เกิดเป็นพ่อเป็นแม่ทันทีเพราะฉะนั้นวันเกิดของเราจึงเป็นวันที่คุณพ่อคุณแม่เกิดขึ้นด้วย ด้วยเหตุนั้นวันเกิดนี้ในแง่หนึ่ง จึงเป็นวันระลึกถึงบิดามารดาและจะเป็นตัวเชื่อมให้เรามีความผูกพันกับท่านผู้ให้กำเนิด แล้วก็จะมีความสุขร่วมกันอย่างเช่นลูกเมื่อถึงวันเกิด ก็นึกถึงคุณพ่อ-คุณแม่ และทำอะไรๆที่จะทำให้ระลึกถึงกัน และมีความสุขร่วมกัน จากคุณพ่อ-คุณแม่ก็โยงไปหาคนอื่นอีกเข่นพี่น้อง ปู่ย่าตายาย คนที่เกี่ยวข้องซึ่งสัมพันธ์กันไปหมด นี่คือการเกิดเป็นตัวต่อและเชื่อม

เชื่อมฐานวัฒนธรรมไทย กับความเจริญที่ก้าวหน้าต่อไป

(2.) การเกิดนี้เชื่อมไปถึงพื้นฐานของเรา เช่นเมื่อเราเกิดเป็นคนไทย ชีวิตของเราที่เป็นพื้นเดิม ก็มีรากฐานคือวัฒนธรรมไทยเราเกิดมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมนี้ วัฒนธรรมไทยก็หล่อหลอมชีวิตของเราเราจะต้องรู้จักเอาประโยชน์จากวัฒนธรรมไทย ต่อจากพื้นฐานนี้เราก็ก้าวไปข้างหน้าและพบวัฒนธรรมภายนอก ตลอดจนพบความเจริญอะไรต่าง ๆถ้าเราใช้เป็นก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองด้าน คือ

ก.เราจะมีพื้นฐานของเราที่มั่นคง ให้การเกิดเป็นตัวยึดพื้นฐานของเราไว้ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมที่เรามีเราก็ไม่ละทิ้งแต่เราเอาส่วนที่ดีมาสร้างตัวให้เป็นพื้นฐานที่มั่นคง

ข. สิ่งใหม่ๆเราก็ก้าวไปรับ ไปทำ ก้าวไปสร้างสรรค์ถ้าเราได้ทั้งสองด้านนี้เราจะมีความเจริญงอกงาม คือ ทั้งมีพื้นฐานดี และสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงหมายความว่า ไม่ให้ขาดทั้งสองด้าน ทั้งพื้นฐานเดิม ที่เป็นรากฐานเก่าและทั้งด้านใหม่ที่ก้าวไปข้างหน้า คนที่เจริญงอกงามต้องได้ทั้งสองด้านนี้จึงจะมีการพัฒนาที่สมบูรณ์

ที่มา : http://agalico.com/showthread.php?t=8641